1 : ท้องฟ้าฤดูหนาว

มวลเมฆลอยคล้อยต่ำบนผืนฟ้าของเมืองหลวง ความเร่งรีบปลายปีปกคลุมทั่วย่านธุรกิจมารุโนะอุจิ ภายในอาคารสำนักงานใหญ่คุราฮาชิโปรดักส์ซึ่งสามารถมองเห็นไกลถึงเขตพระราชวัง พนักงานทุกคนต่างทำงานตัวเป็นเกลียวเนื่องจากวันมะรืนเป็นวันปิดงานจึงไม่มีสักคนที่จะสนใจ
บรรยากาศหิมะใกล้ตกภายนอกหน้าต่าง ร่างโปร่งนั่งติดริมหน้าต่างรับฟังแนวทางการ
ทำงานของปีหน้าจากรุ่นพี่

“_____ทั้งหมดเป็นแนวทางของครึ่งปีหลังครับ พอขึ้นปีใหม่ก็เริ่มเตรียมเอกสารการประมูลเลย
นี่คือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ติดต่อกับแต่ละสาขาโดยอ้างอิงจากกราฟนี้.......”

ฮายาเสะ โยชิฮิโระกางแฟ้มหนาเตอะบนโต๊ะพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ชูอิจิไล่ตาม
เนื้อหาภายในนั้นด้วยแววตามุ่งมั่นโดยไม่ใส่ใจปลายผมที่ปรกระผิวแก้ม เป็นโปรเจ็คท์ใหญ่
ในการพัฒนา LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ในออสเตรเลียร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ภายในประเทศ
ซึ่งเขาเข้าร่วมทีมด้วย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่จัดทำเอกสารประกอบการประมูล
หากชนะได้งานใหญ่ผลประโยชน์ระดับชาตินี้มาครอง คุราฮาชิโปรดักส์ก็จะยิ่งก้าว
กระโดดได้ไกลมากกว่านี้

ได้เข้าร่วมในงานใหญ่ระดับนี้....... แค่คิด นัยน์ตาคู่งามก็เปล่งประกายระยับ

คุราฮาชิ ชูอิจิ อายุ 23 ปี_____ เข้าทำงานในบริษัทที่บิดาเหลือทิ้งไว้ให้เมื่อฤดูร้อนที่เพิ่งผ่านพ้น
ผ่านมา 5 เดือนจึงเริ่มมองเห็นกระแสและภาพรวมทั้งหมดของงานในที่สุด ความฝันตั้งแต่เด็กของเขาคือ_____
การเข้าทำงานในบริษัทของบิดาและเป็นบุคลากรผู้อุทิศตน
เพื่อบริษัทและสังคม_____เขากำลังก้าวเข้าใกล้เป้าหมายนั้นทีละน้อยอย่างมั่นคง

คงเพราะความหนักแน่นในใจ สีหน้าในระยะนี้จึงยิ่งเปล่งปลั่ง ผิวพรรณนวลผ่องดุจกระเบื้องเคลือบ
นัยน์ตากลมโตสีอำพัน จมูกโด่งคมสันและเรียวปากได้รูป ทุกองค์ประกอบเปี่ยมล้นด้วย
ความงดงามสูงศักดิ์ ยิ่งนับวัน ประกายตายิ่งทวีความเคร่งขรึม สีหน้าก็ให้ภาพพจน์ของ
ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

“คุณชูอิจิ งานนี้จะเริ่มเดินหน้าเต็มที่หลังปีใหม่เลยนะครับ
สะสางงานที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ด้วย”

คนอธิบายเว้นจังหวะแล้ววาดดวงตายาวรีไปที่พนักงานซึ่งกำลังทยอยออกจากประตูห้อง
เข้าสู่ช่วงพักเที่ยงแล้ว ทั้งชั้นเหลือเพียงหัวหน้าแผนกที่กำลังคุยโทรศัพท์ติดพัน เลขานุการ
ชูอิจิและเขาเท่านั้น

บรรยากาศเปี่ยมชีวิตชีวาจนถึงเมื่อครู่เงียบสงัดลง มีเพียงเสียงของหัวหน้าแผนกสะท้อนกังวาน

“พวกเราก็ไปทานอาหารกลางวันกันเถอะครับ พร้อมกับประชุมต่อ.......
” เขาชำเลืองนาฬิกาแล้วรวบแฟ้มเอกสารขึ้น
“ครับ”


ทันทีที่คนตอบรับกอดเอกสารขึ้นแนบอก บานประตูก็เปิดผาง เขาเหลียวมอง
สายตาปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ บุรุษในชุดสูทชั้นดีสีดำยืนอยู่หน้าประตู

“ทะ ท่านประธาน”
เลขานุการรีบก้มศีรษะคำนับ หัวหน้าแผนกก็ลุกขึ้นน้อมศีรษะตาม

“ซะ.......” ชูอิจิเอ่ยชื่อค้าง
ซาเอกิ ทาคานาริ_____ ประธานบริษัทผู้บริหารคุราฮาชิ โปรดักส์แห่งนี้ด้วยวัยเพียง 23 ปี

ชายหนุ่มกอดอกพิงประตูเพ่งมองเขานิ่ง นัยน์ตาชวนให้นึกถึงเหยี่ยวสมชื่อของเจ้าตัว
นิสัยชอบหรี่ตามองคนและริมฝีปากบางเหยียดบอกความไม่เกรงกลัวใคร

_____ซาเอกิ

ร่างเพรียวเหลือบขึ้นมองแล้วหลุบสายตาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เมื่อไรที่หัวใจเต้นรัวขึ้น
เขากอดเอกสารแนบอกแน่นเข้าแล้วเสยผมที่ปรกแก้มขึ้นทัดหู

“คุณชูอิจิ ไปทานอาหารกลางวันกันเถอะครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
คนชวนก้าวยาว ๆ เข้ามาทอดมอง กลิ่นบุหรี่ที่แสนคุ้นเคยลอยฟุ้ง

“อาหารกลางวัน ?”
ชูอิจิทวนคำฉงนพลางเอียงคอเล็กน้อย เมื่อเช้าซาเอกิไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยสักคำ
พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันในแมนชั่นที่ฮิโรโอะ นั่งรถไปกลับด้วยกัน แต่โดยปกติแล้วจะพยายาม
ไม่ข้องเกี่ยวกันในบริษัทเท่าที่จะทำได้เพื่อให้พนักงานทุกคนคิดว่า
การที่พวกเขาสนิทสนมกันนั้นเนื่องจากเขาเป็นบุตรชายของอดีตประธานบริษัท
เพราะเขาเป็นเพียงพนักงานบริษัทธรรมดา หนำซ้ำยังเป็นพนักงานใหม่ ถ้าถูกจับตาเป็นพิเศษ
อาจหมดสิทธิ์ได้รับความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากพนักงานอื่น

“_____ขอโทษครับ ผมมีนัดประชุมงานกับคุณฮายาเสะ”

เขาจึงปฏิเสธด้วยวาจาสุภาพแล้วเลื่อนสายตาไปที่ผู้ถูกอ้างอิง แต่ฝ่ายนั้นกลับอนุญาตหน้าตาเฉย
“ผมไม่รีบหรอกครับ เชิญคุณไปกับประธานเถอะ”
“แต่คุณฮายาเสะ_____”

“ผมติดธุระที่บริษัทการบินด้วย ประชุมใหม่หลังบ่าย 3 แล้วกันนะครับ” ฮายาเสะขัดขึ้นแล้ว เตรียมตัวออกจากห้อง

ซาเอกิส่งสายตาเร่งร่างบางที่เงยขึ้นมองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“.......ตกลงครับ” ชูอิจิวางเอกสารลงบนโต๊ะแล้วก้าวตามหลัง

เมื่อทั้งคู่ออกสู่ระเบียงทางเดิน พนักงานที่สวนไปมาต่างหลีกทางให้เงียบ ๆ ประธานบริษัทก้าวตรง
ไปยังโถงลิฟท์ด้วยฝีเท้าไม่เร่งรีบ ท่ามกลางสายตาที่จับจ้อง ร่างโปร่งแหงนมองคนเดินนำครึ่งก้าว
ไหล่กว้างผึ่งผาย แผ่นอกกำยำ บุรุษผู้บึกบึนล่ำสันต่างกับตนลิบลับ ลีลาย่างก้าวอย่างหนักแน่นบอก
ความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม ไม่เหลือเค้าแม้แต่น้อยว่าเมื่อ 1 ปีก่อนยังเป็นเพียงนักศึกษา
เพราะรูปร่างสูงใหญ่และกังวานเสียงทุ้มต่ำประกอบด้วยกระมัง ยิ่งเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เพียงแค่รูปลักษณ์
ท่าทางการแสดงออกก็ช่วยเสริมบุคลิกของผู้นำ

ซาเอกิ_____ ชายผู้นี้เคยเป็นคนรับใช้ในบ้านของเขาจนเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว
เป็นชายหนุ่มที่สำรวมและซื่อสัตย์ เขาเชื่อเช่นนั้น หากซาเอกิกลับถือโอกาสที่บิดาของเขาเสียชีวิต
แสดงธาตุแท้ที่แสนโหดร้าย ไม่ใช่แค่แย่งชิงบริษัท ยังสั่งให้เขาเป็นทาสเพื่อแลกกับชีวิตความเป็นอยู่ของ
ครอบครัว อีกทั้งกักขัง หยามหมิ่น.......ด้วยพฤติกรรมต่ำช้านานาประการ

ทำไมเขาต้องถูกทารุณถึงเพียงนั้นด้วย เขาเคยทำอะไรให้คนรับใช้ผู้นี้เคียดแค้นอย่างนั้นหรือ_____
ความเกลียด ความเจ็บใจ และความขมขื่นที่มีต่อชายผู้นี้อัดแน่นในอกจนเคยถึงกับคิดอยากตาย

แต่ซาเอกิกลับช่วยเขาไว้หลายต่อหลายครั้ง กระทั่งเคยเอาชีวิตเข้าปกป้อง

ปัจจุบัน เขาได้รับอนุญาตให้ทำงานในบริษัท ได้รับการยอมรับในอิสรภาพระดับหนึ่ง
แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป ความค้างคาใจไม่เคยกระจ่าง มีเพียงเวลาที่ผ่านเลยไป

“คุณชูอิจิ ทางนี้ครับ”

เมื่อถึงชั้นจอดรถใต้ดิน ชายหนุ่มตรงไปที่รถยนต์ส่วนตัวของตนแทนที่จะเป็นลีมูซีนซึ่งใช้ในการทำงาน เป็นเวลาเดียวกับที่รถอิตาลีสีดำแล่นเข้ามาจอดข้างรถเบนซ์สีดำมรกตมันวาวพอดี บุรุษร่างสูงก้าวลงจากยานพาหนะ

_____ทนายความวาคามิยะ......
.
ทันทีที่เห็นคนสวมแว่นกรอบโลหะในชุดสูทสีเขียวเข้ม เชิ้ตสีดำ และเนคไทลายไม่ฉูดฉาด
ร่างเล็กก็หลบเข้าเบื้องหลังคนมาด้วยเงียบ ๆ

“กำลังจะไปทานข้าวเหรอ ?” วาคามิยะทักด้วยน้ำเสียงมีจังหวะจะโคน
“อืม เสร็จแล้วจะโทร.หา”

ซาเอกิเปิดประตูด้านข้างคนขับให้ ชูอิจิแอบหลังเงาร่างสูงเข้าไปนั่ง เมื่อเห็นเขานั่งเรียบร้อย
ดีแล้วซาเอกิก็ปิดประตูแล้วอ้อมไปขึ้นรถอีกฟาก คิ้วดกขมวดย่นเมื่อเห็นเขานั่งตัวลีบอย่าง
พยายามไม่ให้เป็นที่สังเกตของบุคคลที่สาม

“เป็นอะไรไปครับ ?”
“เปล่า.......ไม่มีอะไร”

ชายหนุ่มจับจ้องคนหลบสายตาผ่านทางกระจกมองหลังขณะสตาร์ทรถ

ผิวแก้มของคนก้มหน้าก้มตาซับสีโลหิต เจ้าตัวก็รู้ตัวถึงความร้อนผ่าวของผิวหน้าจึงยกฝ่ามือขึ้นปิด
ทำอย่างไรดี ไม่กล้ามองหน้าวาคามิยะตรง ๆ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะตั้งรับ
คำพูดประโยคนั้นอย่างไรดีนั่นแหละ คำพูดที่ว่า_____‘ซาเอกิรักคุณ’

จริงหรือเปล่านะ เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า

ซาเอกิหลงระเริงในความสำเร็จของตัวเองที่ได้กำราบอดีตเจ้านาย_____
ทั้งที่เขาเชื่อเช่นนั้นโดยไม่กังขาเลยแท้ ๆ นัยน์ตาสีอำพันเหลือบขึ้นมองด้านข้างของใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากเหยียดเม้ม
เจ้าตัวขับรถด้วยสีหน้ายุ่งยากอย่างทุกที เขาไม่อาจคาดเดาความรู้สึกภายในจากสีหน้านั้นได้เลย
ทว่า

_____ลองถามเล่น ๆ ตรงนี้เลยดีมั้ยนะ แบบประมาณคุยเรื่องสภาพภูมิอากาศ

ในกรณีที่เข้าใจผิด ซาเอกิคงขำที่เขาถือเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของวาคามิยะ
เขาอาจรู้สึกเสียเกียรติและอับอาย แต่แบบนั้นจะสบายใจกว่า

_____ใช่ ดีกว่ามันเป็นความจริง.......

ชูอิจิอิงซบหน้าต่าง แพขนตายาวงอนหลุบต่ำ ไม่ว่าส่วนลึกในใจของซาเอกิจะมีความรู้สึกเช่นไรอยู่ก็ตาม
ความจริงที่ว่าเขาขายตัวเองย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ความจริงเรื่องซาเอกิสั่งให้เขาเป็นทาสก็ไม่แปรเปลี่ยน
ยิ่งกว่านั้นคือพวกเขาเป็นเพศเดียวกัน

ไม่ว่าซาเอกิจะรักเขาหรือไม่ก็ยังคงเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ก่อประโยชน์อันใดอยู่ดี
ถ้าเช่นนั้นก็.......ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความรู้สึกของซาเอกิเลยสักนิด ควรจะเป็นเช่นนั้น_____


ไม่นาน รถยนต์ก็เคลื่อนออกจากอาคารบริษัท แล่นผ่านคาซุมิงาเซกิ อาคาซากะ รปปงหงิ.......และตึกสำนักงานต่าง ๆ จนเข้าสู่อาณาบริเวณของร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่ง
แวดล้อมด้วยพืชพรรณร่มรื่น ย่านที่ตั้งสถานทูตประเทศต่าง ๆ
อันเงียบสงบนี้อยู่ใกล้กับโรงเรียนมัธยมปลายของพวกเขา เรือนไม้ญี่ปุ่นตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสวนญี่ปุ่นซึ่ง
ปูด้วยหญ้าอ่อนเขียวขจี เสียงสายน้ำรินผ่านปล้องไม้ไผ่กังวานเสนาะท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบทั้งที่อยู่ใจกลางเมืองหลวง กลุ่มลูกค้าเน้นระดับผู้บริหารและนักการเมือง ห้ามเข้านอกจากสมาชิก

“ท่านซาเอกิคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”
โอคามิในชุดกิโมโนนำทางเข้าสู่ห้องรับแขกด้านใน ห้องอาหารแบบส่วนตัวที่เธอนำเข้าม
าตกแต่งด้วยการจัดแต่งดอกนันเทนและดอกคันสึบากิ
คั่นผนังซึ่งประดับภาพวาดบนกระดาษม้วน แสงรอน ๆ จากภายนอกส่องลอดจากหน้าต่างบานเลื่อน
ชมหิมะสร้างบรรยากาศเคร่งขรึม ซาเอกิคงจองไว้ก่อนแล้ว ออร์เดิร์ฟก่อนอาหารกลางวันสำหรับ 2 ที่
ตั้งเรียงบนโต๊ะไม้มะเกลือขัดมัน ทั้งฟองเต้าหู้ลอยฟ่องบนภาชนะเครื่องเขิน ซุปยูซึมิโสะ เทมปุระ และซูชิหลากหลาย....... ร่างโปร่งมองด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนระบายลมหายใจน้อย ๆ

_____จองตามใจชอบแบบนี้

เรื่องมารับประทานอาหารน่ะเขาไม่ว่าหรอก แต่ทำไมถึงไม่บอกล่วงหน้า นั่นต่างหากที่น่าโมโห
ชูอิจิปรายตามองโอคามิจัดเตรียมน้ำชาแล้วก้าวไปเลื่อนหน้าต่างออกชมทัศนียภาพภายนอก
ซาเอกิเห็นดังนั้นจึงก้าวตามไปข้างหลัง

“_____เชิญตามสบายนะคะ”

ชายหนุ่มมองปราดโอคามิออกจากห้องก่อนก่อนแตะบ่าเล็กเพ่งใบหน้านวล
“ถูกหมอนั่นทำอะไรเข้าหรือครับ ?”

คงเคลือบแคลงมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วกระมัง นัยน์ตาสีนิลพินิจสีหน้าของร่างเล็กอย่างค้นหา
“หมอนั่น ?” คนถูกถามเหลือบขึ้นมอง

“วาคามิยะไงครับ ตั้งแต่ตอนเช้าของเมื่อวานแล้วที่คุณจะหลบทุกครั้งที่เห็นเขา”
“งั้น.......เหรอ ?”

ร่างเพรียวหลุบสายตา หากอีกฝ่ายจับจ้องใบหน้าด้านข้างของเขานิ่งไม่วางตา
สายตาแหลมคมทิ่มแทงราวกับจะมองทะลุถึงรูขุมขน ทุกครั้งที่ถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ เขาจะกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ
ที่กำลังถูกสัตว์กินเนื้อไล่ล่าเสมอ ส่วนซาเอกิก็จะบิดแขนของเขาแล้วใช้กำลังบังคับเพื่อสนองตัณหาของตนอย่างสนุกสนาน รุนแรงจนกระดูกแทบหักเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นต่อด้านรูปร่างและพละกำลัง.......
แค่นึกถึงก็สั่นสะท้านแล้ว ร่างบางส่ายศีรษะ

_____ใช่แล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

ถ้าเป็นเขาจะไม่ใช้ความกำลังรุนแรงกับคนที่ตัวเองรักอย่างนั้น
เขาต้องถูกวาคามิยะหยอกเล่นอย่างแน่นอน

พูดอย่างนั้นเพราะไม่รู้ถึงพฤติกรรมของซาเอกิน่ะสิ ไม่ก็อาจเข้าใจอะไรผิด
“_____ลงมือทานกันเถอะ”


ชูอิจิหันหลังให้หน้าต่างด้วยท่าทีเยือกเย็น ซาเอกิเป็นคนเฉียบแหลม
การแสดงออกเช่นนี้ยิ่งจะสร้างความแคลงใจ
โดยใช่เหตุ แล้วมือใหญ่ก็ยึดคางของเขาไว้อย่างที่คิด

“วางแผนอะไรไว้อีกหรือเปล่าครับ”
คิ้วเรียวย่นขมวดต่อคำถามที่คาดไม่ถึง “พอซักทีเถอะ เอะอะก็ระแวงฉันน่ะเป็นนิสัยเสียของนายเลยจริง ๆ”

ถึงทำให้เขาไม่รู้ว่าจะรับมือด้วยอย่างไรดีไงล่ะ ดวงตาคู่งามขึงเขม่นโดยกล้ำกลืนความรู้สึกอยากเอ่ยประโยคนั้นไว้ในใจ

“งั้นบอกมาสิครับว่าทำไมถึงทำท่าทางอย่างนั้น”
“ก็ได้” พอกันที ไหน ๆ ก็สบโอกาสแล้ว ถามไปเสียเลยก็แล้วกัน

ร่างโปร่งเสยผมที่ปรกแก้มขึ้นแล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“ซาเอกิ ความจริงแล้วนาย.......” พูดไม่ทันจบก็ชะงักค้าง เสียงเต้นของหัวใจดังกังวานในห้องอันเงียบสงบ

“ความจริงแล้ว ?”
เสียงทุ้มยังผลให้หลบสายตา “อะ อ๋อ เรื่องรวมกิจการ LNG น่ะ ชะ ใช่แล้ว เรื่องนี้.......นายคิดว่ายังไง ?”

ซาเอกิถอนใจในคำตอบ “นั่นคือสาเหตุหรือครับ”
“อืม ฉันสงสัยน่ะว่าความต้องการของญี่ปุ่นในตอนนี้เป็นยังไงกันแน่” ว่าแล้วหันหลังกลับไปนั่งที่
พูดอะไรออกไป.......

ทั้งที่เป็นเรื่องง่าย ๆ แค่ถามประโยคเดียวก็พอ เขากลับพูดไม่ออก

“ความต้องการ LNG ของญี่ปุ่นเฉลี่ยปีละประมาณ 55 ล้านตัน แต่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 20 % ในอีกหลายปีให้หลัง”
คนอธิบายนั่งลงตรงข้ามในท่าขัดสมาธิสบาย ๆ “ถ้าประมูลได้ คุณก็ต้องไปออสเตรเลียด้วย”

เขาล้วงบุหรี่จากกระเป๋าออกมาคาบ
“ถึงตอนนั้น ซาเอกิจะไปด้วยหรือเปล่า ?”

ริมฝีปากได้รูปเหยียดอย่างครุ่นคิดนิดหนึ่ง ชายหนุ่มมองคนถาม เว้นจังหวะก่อนคลี่ยิ้มเสียดสีที่มุมปาก
“ก็ตั้งใจอย่างนั้นแหละครับ.......ถ้าไม่มีอะไรติดขัด” ตอบเสียงต่ำแล้วอัดบุหรี่เข้าปอด ควันสีขาวบางเบาลอยตัวขึ้นสู่เพดาน “ฤดูร้อนปีหน้าจะมีการประชุมนานาชาติที่ปารีส ตอนนั้นก็ต้องให้คุณใช้ภาษาฝรั่งเศสที่แสนชำนาญช่วยด้วยนะครับ” เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมองคนตรงหน้าก่อนขยี้บุหรี่กับที่เขี่ย

แววตาคล้ายจะบอกอะไรบางอย่างนี้.......

ชูอิจิแตะถ้วยซุปแล้วเหลือบตามอง หมู่นี้ซาเอกิดูเปลี่ยนไป

พอเห็นว่ากำลังเพ่งมองเขาด้วยแววตาคมกริบเลยว่าจะชวนคุยด้วยหน่อยก็หันเข้าหา
หน้าจอคอมพิวเตอร์เสียด้วยสีหน้าปั้นยาก ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น บางครั้งจะเปลี่ยนเป็นคนเย็นชาโหดร้ายขึ้นอยู่กับวาจาและการกระทำของเขาด้วย
ทั้ง ๆ อย่างนั้น พอรู้สึกตัวก็จะถูกมองด้วยแววตาเช่นนี้เสมอ

แววตาหวงแหนและคล้ายจะบอกอะไรบางอย่าง.......

เขารู้สึกเช่นนี้เพราะคำพูดของวาคามิยะหรือเปล่า หรือซาเอกิมองเขาด้วยแววตาเช่นนี้มาตลอดจริง ๆ ร่างเพรียวมองภาพสะท้อนของตัวเองอย่างเหม่อลอยโดยมือยังถือถ้วยซุปค้างไว้

“อาหารไม่ถูกปากหรือครับ ?” ชายหนุ่มทักอย่างฉงนในท่าทีเหม่อลอย
คู่สนทนาปั้นยิ้มอย่างรู้สึกตัว “เปล่า ฉันอิ่มน่ะ”
ยังไม่ทันได้แตะต้องข้าวสวยร้อน ๆ ชุดสุดท้ายก็หมดอารมณ์รับประทานเสียแล้ว

คงเพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจึงแทบจำไม่ได้เลยว่ารับประทานอะไรไปบ้าง
และมีรสชาติอย่างไร เขาวางถ้วยลงบนโต๊ะ จัดเรียงตะเกียบแล้วยกถ้วยชาขึ้น

“ก่อนเข้าประเด็น ผมให้นี่ครับ”
ซาเอกิหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับประทานเสร็จแล้ว

_____ร่างเสนอที่ประชุม ?

ในร่างเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารบันทึกชื่อของชูอิจิรวมกับคณะกรรมการอีกสิบกว่าชื่อ
รายชื่อของพนักงานผู้มีสิทธิ์ซื้อหุ้นของบริษัทในราคาตามที่กำหนด
“ทำไม.......” คนรับมองเอกสารอย่างงงัน

ในนั้นให้สิทธิ์เขาในการถือหุ้นของบริษัทพร้อมทั้งแสดงจำนวนและมูลค่า
“นี่มันอะไรกัน ทำตามใจชอบโดยไม่ปรึกษาฉันซักคำ” แพขนตายาวงอนกะพริบถี่
เขาจ้องฝ่ายตรงข้ามราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ตามประมวลกฎหมายใหม่ พนักงานสามารถถือหุ้นของบริษัทตัวเองได้ง่ายขึ้น
ผมเลยถือโอกาสนี้เพิ่มหุ้นของคุณครับ” ร่างสูงตอบเนิบนาบก่อนพ่นควันบุหรี่

“ฉันไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น !” ชูอิจิกำหมัด ขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด การถือหุ้นไม่ได้มีปัญหาอะไร
ไม่ได้ขัดต่อหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท แต่แบบนี้พนักงานก็จะคิดว่าเขามีอภิสิทธิ์น่ะสิ ไม่ว่าจะทำตัวปกติแค่ไหน เขาก็จะถูกมองว่าเป็นบุตรชายอดีตประธานบริษัทเรื่อยไป

“ใจร้ายมากเลยนะ ทำแบบนี้”
“เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือครับ ก็คุณเป็นบุตรชายอดีตประธานบริษัท” ซาเอกิตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา

“บอกตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เลิกปฏิบัติกับฉันแบบเป็นพิเศษ
อุตส่าห์มาเรียนรู้งานตั้งแต่ต้นจากฝ่ายขายแล้วแท้ ๆ คุณพ่อก็ต้องการอย่างนั้น ทำไมถึงทำอะไรตามใจชอบแบบนี้”
“ผมต่างหากที่บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่ากรุณาเข้าใจสถานภาพของตัวเองให้ดีด้วย”
ไหล่เล็กลู่ตกเมื่อถูกตัดบทอย่างไม่ยอมให้คัดค้าน

_____อีกแล้ว.......

ปัญหาเดิม ๆ เรื่องสถานภาพ ทำไมถึงไม่ยอมมาปรึกษากันสักคำก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป
ถ้าทำอย่างนั้น เขาจะได้อธิบายว่าเรื่องหุ้นนี้เร็วเกินไป หากซาเอกิกลับตัดสินใจเองเช่นนี้เสมอ
เขาเหน็ดเหนื่อยกับความซ้ำซากนี้เต็มที คริสต์มาส อีฟเมื่อวานซืนก็เหมือนกัน
ถ้าบอกกำหนดการล่วงหน้าสักนิด เขาจะได้ไม่ต้องตำหนิด้วยความเข้าใจผิด
ไม่ต้องร้องไห้อย่างน่าอับอายแบบนั้นด้วย ไม่สิ เรื่องคริสต์มาส อีฟยังไม่เท่าไร
ตอนคดีของรุ่นพี่ยามาวากิกับคดีของอาก็เช่นกัน ถ้าสื่อสารกันให้รู้เรื่องก็จะไม่เกิดการเข้าใจผิด
ซาเอกิจะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิต_____ ร่างบางก้มหน้ากอดเอกสารแนบอก
แพขนตายาวงอนหลุบต่ำ ชายหนุ่มเอ่ยต่อโดยไม่สังเกตถึงความรู้สึกของคู่สนทนา

“_____ผมเข้าประเด็นล่ะนะครับ”

_____ประเด็น ?

คนฟังเงยหน้าขึ้น วางเอกสารลงบนโต๊ะ
“เดี๋ยวหลังจากนี้ ผมจะไปสำนักงานอัยการกับวาคามิยะตอนบ่ายสามโมง”
“สำนักงานอัยการ ?” นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างต่อคำบอกเล่ากะทันหัน “จะไปสำนักงานอัยการทำไม”
“ศาลเรียกให้ไปรายงานตัวในคดีของยามาวากิครับ” ซาเอกิพรูลมหายใจยาวเหยียดทั้งที่ยังคาบบุหรี่อยู่
“คดีของรุ่นพี่ยามาวากิ ? แต่มันจบไปนานแล้วนี่”

ทำไมมาเรียกตัวเอาป่านนี้.......

ร่างโปร่งมองด้วยสีหน้างงงวย คดีที่ซาเอกิช่วยเขาซึ่งถูกรุ่นพี่สมัยมัธยมปลายกักขังหน่วงเหนี่ยว
และพยายามข่มขืนจนถูกยิงด้วยอาวุธปืน เหตุการณ์นั้นต้องเป็นคดีความในข้อหากระทำอนาจารเขา
และทำร้ายร่างกายซาเอกิโดยไม่เจตนาซึ่งจำเป็นต้องมีการฟ้องร้องจากพวกเขาทั้งสองคน
แต่ซาเอกิพยายามเลี่ยงการขึ้นให้ปากคำอย่างเต็มที่

‘การขึ้นศาลจะถูกตรวจสอบเกินกว่าเหตุ เพื่อบริษัทด้วยแล้วอย่าขึ้นให้การจะดีกว่า’
เน้นหนักที่คำว่า_____เพื่อบริษัท ชูอิจิจึงยอมทำตาม เขาไม่ได้รังเกียจการขึ้นให้การเลย
ความจริงแล้วซาเอกิเกือบตายด้วยกระสุนปืนของยามาวากิ ทั้ง ๆ อย่างนั้น โทษของยามาวากิกลับเบาลงเป็นเพียงทำร้ายร่างกายโดยไม่เจตนายังความสงสัยให้แก่เขานัก
นั่นเป็นความพยายามฆาตกรรมชัด ๆ ไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีกเลยแท้ ๆ
ลักพาตัวคนอย่างง่ายดาย ซ้ำร้ายยังยิงปืนใส่ ถึงเป็นรุ่นพี่ที่เคยนับถือก็เถอะ
คิดได้ดังนั้น เขาจึงตั้งใจจะฟ้องศาล แต่ซาเอกิรั้นที่จะไม่ยอมอนุญาต เนื่องจากคดีอาญาพิจารณาตัดสินต่อหน้าสาธารณะ ถ้าคดีถูกเปิดเผย
เขาจะถูกตีตราว่าเป็นผู้ชายที่เกือบถูกเพศเดียวกันข่มขืน ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น
เป็นไปได้ว่าข่าวลือจะแพร่ออกไปโดยถูกแต่งเติมว่าถูกข่มขืนเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ
‘ผมคุยกับพ่อของยามาวากิแล้ว ฝ่ายนั้นก็เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร
ไม่แปลกที่จะอยากให้คดีเบาลงเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคม’
ข้อหากระทำอนาจารและทำร้ายร่างกายโดยไม่เจตนา ถ้าไม่มีการฟ้องร้องก็ไม่สามารถส่งฟ้องศาลได้
ในเมื่อเขากับซาเอกิไม่ฟ้อง ความผิดของยามาวากิจึงเป็นเพียงปลอมแปลงเอกสาร
และครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากเป็นความผิดครั้งแรกจึงได้รับการ
รอลงอาญาและไม่นานก็จะถูกปล่อยตัว

“_____ทำไมป่านนี้แล้ว” ร่างเพรียวเปรยอย่างวิตก เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ
“อัยการคนนึงรับไม่ได้เลยสั่งสอบสวนใหม่ครับ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
คนตอบเว้นจังหวะคาบบุหรี่ “ปัญหาคือยามาวากิ มีความเป็นไปได้ว่า
ความผิดของเขาจะหนักขึ้นจากผลการสอบสวน เขากลัวเลยต้องยืนกรานว่าเป็นการป้องกันตัวตามกฎหมายเท่านั้น” แล้วเสิรมว่าตนอาจถูกฟ้องกลับข้อหาใช้กำลังทำร้ายร่างกายก็เป็นได้
“เรื่องบ้าบออย่างนั้น.......”

“กฎหมายและความผิดเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับวิธีตีความครับ”
วาจาเยือกเย็นยังผลให้คนฟังขบริมฝีปาก
“กรณีของผมคงเป็นความผิดฐานบุกรุกสถานที่ ทำลายข้าวของ และทำร้ายร่างกายยามาวากิ”
“แต่ว่า ทั้งหมดเป็นการกระทำเพื่อช่วยเหลือฉันนี่นา
ไม่ใช่การกระทำโดยชอบหรือเหตุฉุกเฉินที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรอกเหรอ ?”

“แล้วแต่การตีความของผู้พิพากษาครับ อีกไม่นาน อัยการคงมาขอพบคุณ
ถึงถูกขอร้องให้ขึ้นให้การก็อย่ารับปากส่งเดชเด็ดขาดนะครับ”
ชายหนุ่มสำทับ แต่ชูอิจิไม่อาจรับได้ เขาจ้องด้วยนัยน์ตาสีอำพันที่เบิกกว้าง

“ซาเอกิ ฉันจะยอมให้นายเสียสละเพื่อรักษาชื่อเสียงของตัวเองไม่ได้หรอกนะ”
เพื่อเปิดเผยความจริง เขาไม่กลัวการปรากฏตัวต่อหน้าศาลเลยสักนิด ยิ่งเกี่ยวโยง
ถึงการปกป้องซาเอกิด้วยแล้วล่ะก็
“ประวัติของคุณจะเสื่อมเสียนะครับ”

“อย่าพูดบ้า ๆ การที่นายซึ่งเป็นประธานบริษัทถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรต่างหากที่มีปัญหามากกว่าประวัติของฉัน”
ร่างโปร่งกำหมัดที่หน้าอก เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถึงมีความผิดก็จ่ายค่าปรับซะสิ้นเรื่อง วาคามิยะว่าความให้ทั้งที
ความผิดต้องเบาลงอยู่แล้ว” ซาเอกิเสริมว่าไม่มีอะไรแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ

“แต่ถึงยังไงก็”
“คุณชูอิจิ ถ้าทำอย่างนั้น ความฝันของคุณจะพังทลายนะครับ” ว่าพลางจับจ้องนิ่ง

“ความฝันของฉัน ?”
“ทำงานอย่างขยันขันแข็งในบริษัทของคุณพ่อ คุณพยายามเพื่อความฝัน
นั้นมาตลอดครึ่งปีนี้ไม่ใช่หรือ ?”
คำเกลี้ยกล่อมซึมลึกในอก “มันก็.......จริง แต่แบบนั้นฉันสมเพชตัวเองนี่นา”

“คุณชูอิจิ แค่พูดความจริงไม่ใช่คำตอบของทุกอย่างหรอกนะครับ
บางครั้งก็ควรเงียบเสียเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญยิ่ง”

ว่าแล้วคาบบุหรี่มองหน้าต่างคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ภายนอก หิมะพอกพูนทอดยาว มืดสลัวทั้งที่เป็นเวลากลางวัน
จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฟากของหิมะคือแสงสว่าง
ช่างคล้ายจิตใจของซาเอกิเสียนี่กระไร ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า
ภายใต้สีหน้าไร้ความรู้สึกนี้ซ่อนอะไรไว้บ้าง ชูอิจิมองใบหน้าด้านข้างนั้นอย่างเลื่อนลอย เจ้าตัวทอดสายตายาวไกล ริมฝีปากได้รูปเหยียดเม้ม

ควรเงียบเสียเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญยิ่ง.......

“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้ ฉันไปบอกความจริงเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า”
ใช่ จะทำร้ายซาเอกิซึ่งเป็นประธานบริษัทไม่ได้ ร่างเพรียวยันมือกับโต๊ะเตรียมลุกขึ้น

“คุณชูอิจิ !” เสียงทุ้มต่ำขัดขึ้น ชายหนุ่มคว้าข้อมือเล็กไว้พร้อมมองด้วยสายตาห้ามปราม
“พอซักทีเถอะครับ”
“ซาเอกิ.......”

“ก่อนจะมาเป็นห่วงผม คิดถึงการป้องกันตัวไว้จะดีกว่า ยามาวากิที่อยู่ระหว่าง
ประกันตัวอาจมาหาคุณก็ได้ ขอย้ำให้คุณระวังตัวไว้”
กระแสเสียงเจือโทสะยังผลให้คนฟังแค่นยิ้ม

“ไม่มั้ง.......ไม่มีทางหรอก ข้อแรก ป่านนี้แล้ว ฉันก็ไม่กล้าพบรุ่นพี่อีกหรอก”
ปัจจุบัน ยามาวากิอยู่ระหว่างประกันตัวก่อนสู้คดี
ผู้เป็นบิดาจ่ายเงินเดินเรื่องให้ออกจากเรือนจำ
“เขาหลงคุณมาตลอด 7 ปีตั้งแต่ม.ปลาย ไม่มีทางที่จะตัดใจง่าย ๆ หรอกครับ
สมัยเรียน คุณก็ติดเขาน่าดูเลยนี่” ซาเอกิปล่อยข้อมือเล็กแล้วขยี้บุหรี่กับที่เขี่ยอย่างหงุดหงิด

“คิดมากไปแล้ว” ชูอิจิเอ่ยอย่างย้ำให้ตัวเองฟังด้วย
“รุ่นพี่ในตอนนี้ไม่เหมือนสมัยม.ปลาย อย่างน้อย รุ่นพี่ในสมัยนั้นก็_____”
เป็นคนจิตใจดีงาม เขาเอ่ยค้างแล้วก้มศีรษะ ไม่สิ ไม่ใช่ รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่

_____บาดแผลที่หลังของซาเอกิ.......

ใช่แล้ว แผลนั้นได้มาในสมัยมัธยมปลายไม่ใช่หรือ เขานึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ปลายนิ้วเสยผมที่ปรกแก้มขึ้น ตอนนั้น เขาเห็นซาเอกิยืนอยู่ที่สุดขอบสายตา

“จวนได้เวลาแล้วครับ กลับกันเถอะ”
ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้น พบอีกฝ่ายชำเลืองนาฬิกาข้อมือ “ซาเอกิ.......”

ชายหนุ่มทอดมองคนกังวลด้วยสีหน้าหนักใจก่อนเอ่ย “คุณชูอิจิ สังคมหยาบโลนกว่าที่คิดนะครับ สิ่งที่ยามาวากิทำกับคุณจะเป็นข่าวแพร่กระจายได้กว้างขวางกว่า
ความผิดเล็กน้อยของผม อย่าลืมเสียล่ะ”

เรื่องนั้นน่ะเข้าใจ แต่มันจะดีแน่หรือ_____

* * * *


“ฮึ.......อื้อ”
ริมฝีปากที่แสนคุ้นเคยแนบประกบ ปลุกร่างเพรียวให้ตื่นขึ้นจากนิทรารมณ์
เรียวปากนุ่มถูกบดเบียดครั้งแล้วครั้งเล่าจนอ่อนแรงปล่อยให้ลิ้นอุ่นล่วงล้ำเข้ามา

“.......ฮึก”
แพขนตากะพริบชั่ววินาที เมื่อลิ้นสากซอกซอนในช่องปาก เปลือกตาบางก็ค่อย ๆ ปิดลง
นิ้วแกร่งเสยผมหน้าของเขาขึ้นอย่างรักใคร่ ต้องตื่น....... เขาคิดเช่นนั้น หากความเพลิดเพลินจากการถูกลูบไล้เรือนผมและความรัญจวนจากเมื่อคืนที่กำซาบทั่วเรือนร่างก็พัดพา
ให้กลับคืนสู่ความง่วงงุนอันเลือนลาง

“อื้อ.......”
ชายหนุ่มลิ้มรสริมฝีปากนุ่มพักหนึ่งก่อนเลื่อนมือโอบเอวเล็กและฝังหน้ากับซอกคอระหง
คงอาบน้ำเรียบร้อยแล้วกระมัง กลิ่นหอมของสบู่จึงฟุ้งจากร่างหนาจาง ๆ
เส้นผมที่ระลำคอจนจั๊กจี้ก็ยังเปียกชุ่ม

“อ๊ะ.......อ๊ะ”
มือใหญ่สอดเข้าใต้ผ้านวมควานหายอดอกกระตุ้นเสียงครางลอดจากลำคอ

เมื่อคืน_____ก็เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั่นแหละ ซาเอกิพันธนาการเขาไว้กับเตียงจนใกล้ย่ำรุ่ง
เหตุผลและความนึกคิดมลายสิ้นจากการโลมเล้า เขาสนองความต้องการต่อเนื่องจนแทบสิ้นสติ
ทิ้งความเพลียและความอ่อนล้าครอบงำจนวินาทีนี้ แม้จะเป็นกิจกรรมที่เคยชินแล้วก็ยังหนักหนาเกินไป
สำหรับร่างกายที่ไม่แข็งแรงนัก หากความร้อนเร่าที่ค่อย ๆ แทรกซึมผิวกายก็ปลุกเร้าให้สั่นสะท้านอย่างไม่อาจทานทน

“ดะ.......เดี๋ยวก่อน.......พอ”
คืนก่อนวันหยุดเป็นเช่นนี้เสมอ ซาเอกิจะไม่ปล่อยเขาตราบเท่าที่ยังพอมีเวลา
ถ้ายอมอยู่อย่างนี้ก็มีหวังถูกกลืนกิน

“ซาเอกิ.......ขอร้อง.......ล่ะ”
ทันทีที่เขาบิดสะโพกและพยายามดันไหล่กว้างออก น้ำหนักที่กดทับก็วูบหายไป
“.......ซาเอกิ ?
”
สายตาพร่ามัวสะท้อนภาพแผ่นหลังของร่างสูงที่นั่งบนขอบเตียง
รอยแผลเป็นเด่นชัดที่จารึกอยู่ส่งผลให้ชูอิจิกลั้นหายใจ ความร้อนที่ซึมอาบผิวกายเย็นวาบลงทันตา

_____บาดแผลนี้.......

เรือนร่างกำยำสมส่วนด้วยมัดกล้ามเนื้องดงามตั้งแต่ลาดไหล่เรื่อยลงสู่สะโพก
หากแผ่นหลังกลับสลักด้วยรอยแผลถูกฟันเฉียงเป็นแนวยาว

_____ซาเอกิ.......

แผลเป็นจากการถูกดาบญี่ปุ่นฟันสมัยมัธยมปลาย เขาไม่ได้รู้จากปากของเจ้าตัว
หากรับฟังจากยามาวากิ บาดแผลนั้น ยามาวากิเป็นคนฟันเอง_____

ร่างเล็กขบริมฝีปากแน่น ยันกายขึ้นอย่างลืมสิ้นถึงความอ่อนล้า ผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินลื่นหลุดลงถึงเอว
เผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนประทับด้วยรอยจ้ำนับไม่ถ้วน

“ซาเอกิ เอ้อ”
ชายหนุ่มเหลียวตามเสียงเรียก “ยังไม่ต้องลุกหรอกครับ คุณพักผ่อนตามสบายเถอะ”

เขาลุกขึ้นเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบสูทออกมา
“ซาเอกิ.......เรื่องแผลของนาย”
“ขอโทษครับ ผมต้องไปเดี๋ยวนี้แล้ว ไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน” ปฏิเสธพลางสวมเชิ้ตแล้วผูกเนคไทลวก ๆ

“วันนี้ก็ทำงานเหรอ ?”
เมื่อวานปิดงานทุกโครงการแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรจนกว่าจะพ้นปีใหม่นี่นา.......
“ครับ คืนนี้ผมกลับดึก”
“ตอนถามโปรแกรมเมื่อวานไม่เห็นบอกอะไรเลย”

ชูอิจิระบายลมหายใจน้อย ๆ ขณะขึงตาเขม่นแผ่นหลังกว้าง อีกแล้ว_____
ไม่ได้บอกให้ปรึกษาทุกเรื่องสักหน่อย แค่อย่างน้อยช่วยบอกตารางของวันถัดไปล่วงหน้า 1 วันก็พอ

“บริษัททำงานถึงเมื่อวาน แต่หน่วยงานราชการทำงานถึงพรุ่งนี้ครับ ผมต้องไปจัดการเรื่องที่ว่า”
เรื่องที่ว่าคือการสอบสวนคดีใหม่

“มีปัญหาอะไรขึ้นมางั้นเหรอ ?” คนถามเอนพิงพนักที่นอน นิ้วเรียวเสยผมหน้าที่ยุ่งเหยิงขึ้น
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น”

คำตอบเยือกเย็น หากไม่อาจเชื่อถือได้โดยง่าย เนื่องจากซาเอกิเป็นผู้ชายที่ไม่แสดงความรู้สึกจนน่าโมโห
ปากก็หนัก ร่างโปร่งก้มศีรษะ แพขนตายาวงอนหลุบลงช้า ๆ
เขาไม่ได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคดีอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
เมื่อวานซืนเหนื่อยมากจนหมดแรงถามไถ่อะไรทั้งสิ้น
เมื่อวานเป็นวันปิดงานก็ไม่มีเวลาพอกันทั้งสองคน
วันนี้เป็นวันแรกของวันหยุดฤดูหนาวจึงอยากค่อย ๆ คุยกันให้รู้เรื่อง
ทั้งเรื่องการสอบสวนใหม่และเรื่องแผลเป็นที่หลัง สมัยมัธยมปลายมีเรื่องอะไรกับรุ่นพี่ยามาวากิ_____
เขาไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น สำหรับเขาแล้ว ซาเอกิเต็มไปด้วยปริศนาอย่างแท้จริง มีอะไรมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้นอกเหนือจากข้อสังเกต 7 ประการ
ตอนคริสต์มาส อีฟ แค่ของที่ซาเอกิอยากได้ เขาก็นึกไม่ออก

_____ใช่ เขาไม่รู้อะไรเลย.......

ชูอิจิพยักหน้ารับในใจ เพราะอย่างนั้นแน่ ๆ ที่ต้องให้บอกโปรแกรม ให้แสดงความรู้สึก
และดีแต่เข้าใจผิดกัน เพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรของซาเอกิเลยนั่นแหละ
ไม่มีทางที่เขาจะรู้จักซาเอกิให้มากขึ้นกว่านี้ได้หรืออย่างไรนะ_____

เมื่อเส้นผมนิ่มสลวยปรกผิวแก้ม ผ้าเนื้อเนียนก็ห่มคลุมบ่า เขาเงยศีรษะขึ้น
พบคนในความคิดยืนอยู่ตรงหน้า คลี่เสื้อคลุมสีขาวห่มให้เขา
“เดี๋ยวเป็นหวัดครับ” เจ้าตัวคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนหันหลังกลับ

“ซาเอกิ” ร่างเพรียวรีบคว้าชายเสื้อสูท ส่งสายตาอ้อนวอนให้คนหรี่ตามอง
“_____ให้ฉันไปด้วยมั้ย ?”

นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างอย่างตะลึงในคำถาม ชายหนุ่มมองใบหน้านวลแวบหนึ่ง
ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ จะไม่มีความเคลื่อนไหวเป็นรูปธรรมจนกว่าจะพ้นปีใหม่
วาคามิยะก็พยายามผัดผ่อนอย่างเต็มที่”
ไม่มีอะไรจนกว่าจะพ้นปีใหม่ ก็จริงว่าคงไม่รีบดำเนินการสอบสวนในช่วงโกลาหลปลายปีหรอก
“แล้วคุณก็น่าจะสบายใจมากกว่าเวลาที่ไม่มีผมไม่ใช่เหรอ”
ร่างสูงเหน็บแนมพลางทอดมองข้อมือเล็กที่ยังยื้อชายเสื้อไม่เลิก

“มันก็.......จริง แต่วันนี้ฉันอยากคุยกับนาย” ว่าแล้วปล่อยมือ ยกขึ้นกระชับเสื้อคลุมแทน
“วันนี้คุณกลับบ้านเถอะครับ ผมจะจัดรถไว้ให้ข้างล่าง”

คงคิดว่ายามาวากิอาจมาที่นี่ก็ได้กระมัง แต่เรื่องซาเอกิจะถูกฟ้องร้องหรือไม่ร้ายแรงกว่า_____

“ซาเอกิ ไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ ?” ชูอิจิถามย้ำอีกครั้ง
“ครับ ขอเพียงคุณไม่คิดอะไรให้มากเรื่อง” คนตอบเสียดสีพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“แต่ว่า.......”
“ได้เวลาแล้วครับ”
ซาเอกิตลบเสื้อสูท เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนก้าวออกจากห้อง

* * * *