เมื่อถึงสนามบินนานาชาติราสและออกไปที่ล็อบบี้ก็พบพี่ชายกับพี่สะใภ้ท่ามกลางฝูงชนที่เบียดเสียดเยียดยัดกันมารอรับญาติมิตร
บินจากนาริตะมาประมาณ 23 ชั่วโมง เป็นครั้งแรกที่เดินทางไกลถึงขนาดนี้เพียงลำพัง คนถึงจุดหมายในที่สุดได้เห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคยเลยลูบอกอย่างโล่งใจ ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

“ยินดีต้อนรับจ้ะ ทาเคยูกิคุง !”
“ไง มาจริง ๆ ด้วยสินะ”

ตรงข้ามกับพี่สะใภ้ที่ต้อนรับด้วยรอยยิ้มสดใส พี่ชายที่แก่กว่า 8 ปียังคงไร้อัธยาศัยไม่เปลี่ยน ทั้งที่ไม่ได้เจอหน้ากันมา 2 ปีได้ กลับไม่แสดงท่าทีคิดถึงหรือยินดีแม้แต่น้อย หากนัยน์ตาหลังกรอบแว่นเจือแววต้อนรับอย่างอบอุ่น เป็นพี่ชายที่ไม่แสดงออกด้วยวาจา แต่สื่อด้วยภาษาตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ว่าแต่คุณพ่อก็เอาใจนายตามเคยเลยนะ ยอมออกค่าตั๋วชั้นเฟิร์สคลาสให้เฉยเลย”
“แหม ก็ระยะทางไกลนี่คะ ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไปจะเริ่มต้นชีวิตพนักงานบริษัทแล้ว คุณพ่อคงคิดว่านี่เป็นการพึ่งพ่อแม่ครั้งสุดท้ายของทาเคยูกิคุงเลยอยากทำอะไรให้เท่าที่พอจะทำได้ล่ะมั้ง ?”

“พับผ่าสิ ทุกคนเอ็นดูทาเคยูกิหัวปักหัวปำกันทั้งนั้น”
“แหม คุณนี่ชอบพูดแบบนี้ทั้งปี จริง ๆ แล้วคุณน่ะแหละที่เอ็นดูทาเคยูกิคุงมากที่สุดแท้ ๆ”

สามีถูกภรรยาย้อนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจนเถียงไม่ขึ้นได้แต่อึ้งอย่างท้อแท้ ทาเคยูกิคลี่ยิ้มแห้ง ๆ ต่อบทสนทนาอันเป็นปกติโดยลืมสนิทว่าเป็นเรื่องของตัวเอง

“มีกระเป๋าแค่ใบเดียวนั่นน่ะหรือ ?”
คนถามเปลี่ยนหัวข้อกลบเกลื่อนอาการเขิน ปลายนิ้วชี้ที่กระเป๋าเดินทางของน้อง เป็นกระเป๋าเดินทางใบเขื่องที่เหมาะสมกับการเดินทางประมาณ 1 อาทิตย์ เจ้าของพยักหน้ารับ เขาทำตัวให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ด้วยคิดว่าขาดเหลืออะไรค่อยหาซื้อเอาปลายทาง พื้นที่หนึ่งในสี่ของกระเป๋าบรรจุของฝากที่นำมาจากญี่ปุ่น

“มุสตาฟา”
พี่ชายเหลียวหลังเรียกหนุ่มท้องถิ่นที่ยืนห่างออกไปเบื้องหลังเล็กน้อย เป็นชายหนุ่มผมหยักศกสีดำสนิท อายุประมาณ 25-26 ปี ผู้มีใบหน้าคมคายฉายแววเฉลียวฉลาด

“ทาเคยูกิ มุสตาฟาเป็นสตาฟท้องถิ่น ทำหน้าที่เป็นล่ามควบเจ้าหน้าที่ธุรการในสถานทูต ช่วงที่พักอยู่ที่นี่คงต้องรบกวนเขา ทักทายไว้ซะ”
ทาเคยูกิส่งยิ้มพลางยื่นมือขวาให้คนที่อีกฝ่ายแนะนำให้รู้จัก “ยินดีที่ได้รู้จัก โอโนสึกะ ทาเคยูกิครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
“ผมต่างหากครับที่ต้องขอความกรุณา”
มุสตาฟาจับมือตอบอย่างหนักแน่น เขาพูดญี่ปุ่นคล่องกว่าอังกฤษเสียอีก มีแววว่าจะพึ่งพาได้เป็นอย่างดี

“งั้นไปกันเถอะ”
ผู้เป็นพี่ออกเดินนำ ล่ามหนุ่มช่วยลากกระเป๋าเดินทางให้ อาคันตุกะจึงเบาตัวลงด้วยเหลือเพียงกระเป๋าสะพายไหล่ใบเดียว เขาตัดข้ามอาคารตามหลังพี่ชาย เดินได้สักพักก็อุทานว่า “อ๊ะ” ทันทีที่สังเกตเห็นร่างในชุดสูทคุ้นตาไกลออกไปเบื้องหน้า

“อะไร ?” คนถามเหลียวหลังมองน้องชาย
“อะ เปล่า ไม่มีอะไรครับ” ทาเคยูกิรีบตอบ “แค่เห็นคนที่นั่งเก้าอี้ใกล้ ๆ กันในเครื่องบินเท่านั้น”

พี่ชายทำเสียงขึ้นจมูกเป็นนัยว่าโธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เองก่อนหันกลับไป

ชายเจ้าของแว่นกันแดดลับสายตาไประหว่างที่เขาสนทนาสั้น ๆ กับผู้เป็นพี่ ไม่รู้ว่าไปไหน รู้แค่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ความสัมพันธ์ชั่วเวลาสั้น ๆ แค่คุยกันไม่กี่คำ หลังจบบทสนทนาด้วยประโยค ‘ขอให้สนุกกับการเดินทาง’ แล้วชายหนุ่มก็ไม่มายุ่งกับเขาอีกตรงตามที่เขาคาดเดา แม้หลังจากนั้นจะเดินผ่านเขาไปเข้าห้องน้ำอีก 2 รอบก็ไม่ได้มองหน้าเขา น่าประหลาดที่พอถูกเมินแล้วกลับเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจใหม่ ทั้งที่เคยต่อต้านการถูกมองหน้าถึงขนาดนั้น เขานึกฉุนว่าเมื่อกี้เพิ่งเข้ามาชวนคุยอย่างไม่เกรงใจด้วยความสนใจสุดขีดแท้ ๆ ไม่เห็นต้องเมินด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้เลย รู้สึกแปลก ๆ อย่างจับความในใจของตัวเองไม่ออก เมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตั้งแต่ลงจากเครื่องจึงอดที่จะเปล่งเสียงไม่ได้

แผ่นหลังที่เห็นเพียงพริบตายังไม่ทันเลือนหายจากความคิด ทั้งหมดก็ออกมาพ้นอาคารสนามบิน แสงอาทิตย์ภายนอกสาดส่องแรงกล้า อากาศก็แห้งแล้งผิดกับภายในที่ติดเครื่องปรับอากาศ ทั้งที่เพิ่งเจ็ดโมงเช้า พระอาทิตย์ในตะวันออกกลางช่างไม่ปรานีเอาเสียเลย พ้นจากร่มเงาของหลังคาเพียงก้าวเดียวก็ถูกลำแสงทิ่มแทงทั่วผิวกาย

รออยู่ตรงวงเวียนสักพักหนึ่งก็มีรถหรูสีดำวาววับแล่นเข้ามาจอดใกล้ ๆ คนขับยังคงเป็นคนท้องถิ่น โชเฟอร์วัยกลางคนร่างเล็กไว้หนวดเคราแต่งเครื่องแบบสีขาว เจ้านายทั้งสามขึ้นนั่งบนเบาะหลังระหว่างที่มุสตาฟายกกระเป๋าเดินทางไปเก็บท้ายรถก่อนตามขึ้นมานั่งข้างคนขับ

“แวะไปทักทายท่านทูตที่สถานทูตก่อน”
ทาเคยูกิกลั้นหาวหลังรู้สึกง่วงจากการปล่อยตัวตามแรงโยกคลอนของรถที่ออกวิ่ง ตอนอยู่บนเครื่องแทบไม่ได้หลับเลยปวดเมื่อยไปทั้งตัว ถึงเก้าอี้จะนุ่มแค่ไหนก็ไม่สบายพอให้คนไม่คุ้นเคยกับการเดินทางอย่างเขาหลับสนิทได้ อยู่ในสภาพหลับ ๆ ตื่น ๆ อย่างห่างไกลคำว่าพักผ่อนเพียงพอจนถึงราสในยามเช้า วันนี้จึงมีแววว่าจะใช้การอะไรไม่ได้ไปตลอดวัน หลังทักทายเอกอัครราชทูตในสถานทูตญี่ปุ่นแล้วขอตัวพักผ่อนในบ้านของพี่ชายเลยดีกว่า

“พวกคุณพ่อไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่มั้ย ?”

พี่ชายชวนคุย ผู้เป็นน้องรีบกะพริบเปลือกตาที่เผลอแล้วจะปรือปิดเสียให้ได้
“สบายดีครับ คุณพ่อใช้เวลาว่างจากงานในการเขียนเรื่อง ‘เกี่ยวกับอดีตมาร์ควิสโอโนสึกะ คินโค’ ที่เป็นอะไรคล้าย ๆ อัตชีวประวัติของคุณปู่ทวด บางครั้งก็จะจับตัวผมไว้เล่าให้ฟังว่าท่านเป็นคนยิ่งใหญ่แค่ไหน อ่านะ ถึงขนาดเป็นรองก็แต่องค์จักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของคุณพ่อหรอก แต่เพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนั้นเลยรำคาญนิด ๆ” คนฟังทำเสียงรับรู้กึ่งเสียดสี ดวงตายาวรีฉายแววขบขัน หากริมฝีปากได้รูปประดับเพียงรอยยิ้มขื่น ๆ “ส่วนคุณแม่ก็วุ่นวายกับการเรียนศิลปะและงานอาสาสมัครทุกวันเหมือนเคย” ทาเคยูกิโต้อาการล้อเลียนด้วยการเล่าต่อ “แล้วคุณพี่อัตสึชิล่ะ ? พี่สะใภ้จะครบ 5 เดือนแล้วใช่มั้ย ?”
“ใช่แล้วจ้ะ ทาเคยูกิคุง” หญิงสาวซึ่งนั่งในสุดขนาบผู้เป็นสามีไว้ชะโงกตัวขึ้นมามองหน้า มือทั้งสองข้างอุ้มท้องไว้อย่างทะนุถนอม

“เธอก็จวนจะเป็นคุณอาแล้วนะ”
“.......พูดแบบนี้แล้วรู้สึกแปลก ๆ แฮะ”

ไม่ใช่เรื่องตัวเองกำลังจะมีหลานชายหรือหลานสาว แต่ไม่รู้สึกจริง ๆ เลยว่าพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กกำลังจะเป็นพ่อคนในที่สุดต่างหาก แน่นอนว่าเจ้าตัวเองก็คงยังงุนงงพอกัน ได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรถึงลูกซึ่งคงจะคลอดในฤดูร้อนที่จะถึงนี้เลยสักคำ ทว่า ใบหน้าด้านข้างที่เหลือบขึ้นมองนั้นเด็ดเดี่ยว เต็มเปี่ยมด้วยความองอาจในฐานะของหัวหน้าครอบครัวและพนักงานบริษัทผู้แบกรับภาระความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงไว้ เล่นเอาใจเต้นระส่ำเลยเชียว

เราก็จะเป็นแบบนี้ได้ในสักวันหรือเปล่านะ____

ความวิตกคลุมเครือที่รู้สึกอยู่เสมอครอบงำจิตใจ
รู้ตัวอยู่หรอกว่าใจร้อนเกินไป ความกังวลและความคาดหวังหลังได้รับการบอกกล่าวว่าวัยเรียนที่ใช้ชีวิตตามอำเภอใจมาตลอด 16 ปีจบสิ้นลงแล้ว ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไปต้องกระโจนเข้าสู่โลกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เขาเติบโตมาแบบได้รับการเอาอกเอาใจเต็มที่อย่างที่พี่ชายว่านั่นแหละ เกิดมาในตระกูลมั่งคั่ง เติบโตขึ้นท่ามกลางใบบุญวาสนา แม้ที่แล้วมาจะพอใจ แต่ต่อไปก็อยากก้าวเดินด้วยลำแข้งของตัวเองบ้าง ความจริงเขาต่อต้านเรื่องเข้าทำงานในบริษัทของบิดาด้วยซ้ำ แต่ไม่อาจขัดความจำนงของผู้ให้กำเนิดหลังวางมือจากบุตรคนโตได้ อาชีพอื่นที่อยากทำให้ได้ก็ไม่มีเลยยิ่งขาดน้ำหนักเกลี้ยกล่อม ถึงบิดาจะเป็นประธานบริษัท แต่เมื่อเข้าทำงานแล้วก็ไม่ต่างจากการยืนหยัดด้วยตัวคนเดียว ความกังวลคล้ายไร้สิ่งยึดเหนี่ยวนี้อาจเกิดขึ้นจากการที่ทุกคนในครอบครัวยกเว้นตัวเองเก่งกาจเกินไป เมื่อรู้สึกว่าไม่อาจเป็นได้อย่างบิดาและพี่ชายจึงเกิดอาการมองไม่เห็นทิศทางของอนาคตกระมัง

จู่ ๆ ก็นึกอยากเห็นทะเลทรายขึ้นมา

อา จริงด้วย เขานึกขึ้นได้ว่าตอนยืนกรานว่าจะไปคัซซีนาก็เกิดอารมณ์หดหู่แบบนี้พอดี อยากให้ตัวตนอันปวกเปียกของตัวเองได้ลองยืนอยู่บนผืนดินแห้งแล้งที่มีสายลมเจือเม็ดทรายสีแดงพัดผ่านดู
ทาเคยูกิมองทิวทัศน์ที่แล่นผ่านนอกหน้าต่างรถ

ทัศนียภาพของถนนลาดยางและต้นปาล์มที่ขึ้นแซมท่ามกลางอาคารซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาและคอนกรีตเป็นระยะดูเจริญรุ่งเรืองกว่าที่จินตนาการไว้ พอเข้าเขตเมืองก็มีรถรุ่นเก่าวิ่งผ่านไปมาบนท้องถนน สองข้างทางมองเห็นร้านค้าอย่างร้านหนังสือและร้านถ่ายรูปตั้งเรียงราย ตลาดซึ่งค้ำจุนด้วยหลังคาซุ้มโค้งคลาคล่ำด้วยผู้คนในเครื่องแต่งกายหลากสีสัน หนึ่งวันของชาวราสเริ่มต้นขึ้นแต่เช้า

“ทะเลทรายไปทางไหนฮะ ?” ทาเคยูกิถามขึ้น
“ทอดตัวทางตะวันออกเฉียงใต้” พี่ชายตอบสั้น ๆ

“พี่อัตสึชิเคยขี่อูฐข้ามทะเลทรายหรือเปล่า ?”
“ไม่เคย”

คนตอบส่ายศีรษะอย่างไร้ซึ่งวี่แววสนใจอย่างที่คิด คำตอบห้วน ๆ เป็นเชิงว่าตัวเองไม่ได้มาประเทศนี้เพื่อเที่ยวเล่น แม้จะอยากถามอะไรอีกมากมาย แต่วาดภาพได้เลยว่าไม่ว่าจะถามอะไรก็คงตอบประมาณนี้จึงได้แต่รู้สึกห่อเหี่ยว
อาการหาวกลับมาเยือนอีกครั้ง

วันนี้พักผ่อนอยู่ในบ้านของพี่ชายและพี่สะใภ้ดีกว่า เวลามีเหลือเฟือ นอนกลางวันจนถึงเย็นแล้วร่างกายคงจะหายเพลีย ไว้ตกดึกแล้วค่อยคิดว่าอยากไปไหนและอยากดูอะไร

พ้นจากตัวเมืองที่การจราจรค่อนข้างจะติดขัดแล้วรถก็แล่นขึ้นเนินเข้าเขตชุมชนอันเงียบสงบ บริเวณนี้เรียงรายด้วยคฤหาสน์หลังงามทาผนังด้วยสีครีมและสีเหลืองซึ่งคงเป็นถิ่นที่อยู่ของเศรษฐี มองผ่านประตูรั้วเหล็กใหญ่โตเข้าไปจะเห็นน้ำพุประดับกลางสวนหน้าบ้านที่ปูด้วยผืนหญ้าเขียวขจี บอกเล่าถึงความมีอันจะกินของผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างดี
สถานทูตญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ ณ มุมหนึ่งบนเนินนั้น
มีทหารคล้องปืนพาดบ่า 2 นายเฝ้าประตู รถยนต์หยุดหน้าประตูนิดหนึ่งก่อนแล่นเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์หลังได้รับอนุญาต

“เดี๋ยวนี้ความสงบเรียบร้อยชักจะวุ่นวายนิดหน่อย” พี่ชายเอ่ยเบา ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ก่อการร้ายหรือครับ.......?”

“เปล่า ประเทศนี้มีความคิดก้าวหน้าเป็นพิเศษในแถบตะวันออกกลาง ภายใต้พระปณิธานในพระราชาองค์ปัจจุบันที่ทรงผ่อนปรนข้อจำกัดจากข้อบังคับทางศาสนาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อนานาประเทศทางตะวันตก ทั้งประเทศโดยรวมเลยสงบสุขเรียบร้อยดี แน่นอนว่ามีพวกหัวรุนแรงที่มีความคิดต่อต้านอเมริกาอยู่ส่วนนึง แต่แทบจะไม่มีอันตรายจากการก่อการร้ายเลย ที่สำคัญกว่าคือความเสียหายจากสงครามย่อยระหว่างเผ่า การปล้น และการลักพาตัวต่างหากที่เป็นปัญหา คดีพวกนี้เกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้นมาตั้งแต่อดีตแล้ว วันก่อนก็เพิ่งเกิดคดีลักพาตัวเศรษฐีไปเรียกค่าไถ่
ชาวญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายง่ายต้องระวังตัวไว้ด้วยล่ะ”

เดิมทีก็ไม่ได้คิดว่ามาประเทศที่แสนสงบสุขอยู่แล้ว คนฟังจึงพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกคล้ายถูกกำชับในเรื่องที่รู้อยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้หรอกน่า

สถานทูตปลูกสร้างด้วยศิลาขาว 3 ชั้นงดงาม
หลังพ้นโถงทางเข้าซึ่งปูพื้นด้วยกระเบื้องโมเสคก็ก้าวผ่านระเบียงวงเวียนที่มองเห็นสวนกลางบ้านเพื่อมุ่งสู่ห้องทำงานของเอกอัครราชทูต
มาซาโกะนั่งดื่มชาในห้องรับรองทางซ้ายมือของโถงใหญ่ เหลือเพียงสามีกับน้องเขยเข้าพบเอกอัครราชทูต ระหว่างทางเดินสวนกับเจ้าหน้าที่หลายคน พอเห็นอัตสึชิแล้วทุกคนต่างโค้งคำนับอย่างนอบน้อม เป็นเลขาธิการด้วยวัยเพียงเท่านี้เรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิโดยแท้ ทาเคยูกิยิ่งนึกชื่นชมในใจ
เอกอัครราชทูตคุซุโนกิที่เพิ่งกลับจากปฏิบัติภารกิจเป็นบุรุษร่างใหญ่ที่คุยสนุกและไม่มีพิธีรีตอง

“ไง ไง อุตส่าห์มาจนถึงนะ คุณพ่อสบายดีหรือเปล่า ?”
“ครับ สบายดี”

ท่านเป็นเพื่อนร่วมรุ่นในมหาวิทยาลัยเดียวกันกับบิดา ดูเหมือนว่าจะเคยพบปะกันหลายครั้ง จึงยินดีต้อนรับการมาเยือนของเขาและบอกว่าอยากพบให้ได้

“เทียบกับโตเกียวแล้วบ้านนอกกว่าเยอะ แต่มีโบราณสถานและซุคที่ไม่มีให้เห็นในญี่ปุ่นมากมาย คิดว่าเธอคงไม่เบื่อแน่ และหวังว่าเธอจะได้ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ากลางทะเลทรายซักครั้ง ระหว่างพำนักอยู่ที่นี่ ฉันจะให้ยืมรถพร้อมคนขับ จะใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้ตามสบายเลย”
“ขอบพระคุณครับ”
ทาเคยูกิน้อมศีรษะขอบคุณในความอารีของเอกอัครราชทูตอย่างสุภาพ

พัดลมติดเพดานหมุนถ่ายมวลอากาศเย็นสบายทั่วทั้งห้อง มุสตาฟาที่หายตัวไปพักหนึ่งยกชายเข้ามาเสิร์ฟ ของเหลวคล้ายน้ำชาแก่ ๆ ในถ้วยแก้วพร้อมช้อนและน้ำตาล 2 ก้อนบนจานรอง ดมจากกลิ่นหอมที่โชยมาน่าจะเป็นชาฝรั่งผสมชาอู่หลง

ระหว่างที่ทาเคยูกิจับจ้องชายอย่างแปลกหูแปลกตา เอกอัครราชทูตก็สนทนากับเลขาธิการ
“____งั้นอาทิตย์นี้ ฝ่าบาทก็ไม่เสด็จกลับพระราชวังอีกแล้วน่ะสิ”

“ครับ คงเป็นอย่างนั้น ทางเราก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรเลยเกรงใจที่จะบังคับนัดหมาย”
“โถ โถ แน่นอนอยู่แล้ว ขอเข้าเฝ้าในเวลาที่ทรงสะดวกก็พอ โอโนสึกะคุง”

“ดูเหมือนจะทรงเจ้าพระทัยยิ่งกว่าที่ร่ำลือกันเสียอีกนะครับ”
“เพราะยังทรงหนุ่มแน่นน่ะแหละ”

“ว่าแต่____”
ห้องทำงานของเอกอัครราชทูตให้ความรู้สึกผ่อนคลายสุดขีด ทาเคยูกิจิบชายที่ดื่มเป็นครั้งแรกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนถอนใจโล่งอก ระหว่างเอนกายบนเบาะหนานุ่มฟังเสียงสนทนาลอยลมในอากาศ ความง่วงงุนที่จู่โจมไม่ขาดตลอดทางก็ติดตามมาถึงที่นี่
“ทาเคยูกิ ทาเคยูกิ”
ถูกเรียกถึง 2 ครั้งจึงได้สติ พี่ชายปั้นหน้าบึ้งมองอย่างระอา

“ขะ ขอโทษครับ.......ผม”
ผู้เป็นน้องลนลานยืดหลังขอขมา เอกอัครราชทูตยิ้มแย้มสดใส

“อะไร ไม่ต้องเกรงใจหรอก ไม่มีสายการบินที่บินตรงจากญี่ปุ่นมาถึงคัซซีนาเลยต้องเดินทางถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ ได้ยินว่าทัวร์ส่วนใหญ่พอเข้าประเทศปุ๊บก็วางตารางท่องเที่ยวแน่นเอี๊ยดจนคนเฒ่าคนแก่ลำบากแทบแย่ อาหารการกินก็ทำให้ท้องเสียง่าย มีคนมาขอให้แนะนำโรงพยาบาลเยอะเชียวล่ะ ฉันแนะนำให้ทำอะไรดูสภาพร่างกายและอย่าหักโหมนะ”
“ครับ” ทาเคยูกิก้มศีรษะอีกครั้งด้วยความขัดเขิน “ขอบพระคุณครับ”
“ขอบคุณในความปรารถนาดีครับ ท่านทูต” อัตสึชิเสริมด้วยความเกรงอกเกรงใจ
เอกอัครราชทูตยิ้มปฏิเสธจนตาหยี ช่างเป็นคนใจเย็น เมตตา และถ่อมตนจริง ๆ ทาเคยูกิคิดพลางตามหลังพี่ชายออกจากห้อง

* * * *